เทคนิคการใช้สารเคมีช่วงฤดูฝน

การใช้ สารเคมีช่วงฤดูฝน ต้องใช้ความระมัดระวังมาก เพราะสภาพฝนตกชุก ความชื้นสูง และลมแรงสามารถลดประสิทธิภาพของสาร หรือเพิ่มความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนและดื้อยาได้ง่าย ดังนั้นจำเป็นต้องมีเทคนิคเฉพาะเพื่อให้การพ่นสารได้ผลคุ้มค่าและปลอดภัย

เทคนิคการใช้สารเคมีในฤดูฝนให้ได้ผล

1. เลือกช่วงเวลาพ่นสารให้เหมาะสม

• พ่นหลังฝนหยุดประมาณ 1–2 ชั่วโมง รอให้ใบแห้งก่อน เพื่อให้สารจับติดดี

• พ่นช่วงเช้าแดดอ่อน หรือ ช่วงเย็นก่อนพลบค่ำ หลีกเลี่ยงพ่นกลางวันร้อนจัดหรือลมแรง

• ตรวจพยากรณ์อากาศ ก่อนพ่นสาร หากมีโอกาสฝนตกภายใน 6 ชม. ควรเลื่อนการพ่นออกไป

2. ใช้สารจับใบ (สารลดแรงตึงผิว) ร่วมด้วย

• เช่น สารจับใบ ชนิดน้ำมันหรือสบู่ชีวภาพ ช่วยให้สารเคมีเกาะติดผิวใบดีขึ้น

• ลดการชะล้างของฝน เพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึม

3. สลับกลุ่มสารเคมี

• หมุนเวียนกลุ่มสารเคมี (เช่นกลุ่ม 1A, 2B, 3A ฯลฯ ตาม IRAC) ป้องกันแมลงและเชื้อโรคดื้อยา

• อย่าใช้สารเดิมซ้ำเกิน 2–3 ครั้งต่อเนื่อง

4. ใช้ปริมาณสารอย่างเหมาะสม

• ห้ามใช้สาร เกินอัตรา เพื่อชดเชยฝน เพราะอาจตกค้างในผลผลิต

• เน้นพ่นสารให้สม่ำเสมอทั่วทรงพุ่ม โดยเฉพาะใบอ่อน ใต้ใบ และกิ่งอ่อน

5. พ่นในระยะพืชอ่อนแอหรือมีใบอ่อน

• เป็นช่วงที่พืชต้องการการป้องกันสูง เช่น ช่วงแตกใบอ่อนใหม่

• หากพ่นสารกำจัดแมลงหรือเชื้อรา ควรพ่น ก่อนเกิดการระบาด (ระยะก่อนโรคเข้า)

6. อย่าพ่นสารร่วมกับน้ำหมักหรือปุ๋ยทางใบ

• สารเคมีหลายชนิดไม่ควรผสมกับน้ำหมัก/ปุ๋ยชีวภาพ เพราะจะตกตะกอนหรือเสื่อมคุณภาพ

7. ล้างถังพ่นสารให้สะอาดทุกครั้ง

• เพื่อป้องกันสารตกค้าง หรือปฏิกิริยาระหว่างสารจากครั้งก่อนที่อาจเป็นพิษกับพืช

ตัวอย่างตารางการพ่นช่วงฝน

ช่วงเวลา สิ่งที่ควรพ่น หมายเหตุ
หลังฝนหยุด 1–2 ชม. ยาฆ่าแมลง/ยาป้องกันเชื้อรา + สารจับใบ อย่าพ่นถ้าใบเปียก
ช่วงแตกใบอ่อน ยาป้องกันหนอนชอนใบ, เพลี้ยไฟ ควรพ่นทุก 5–7 วันหากฝนตกต่อเนื่อง
ช่วงผลเริ่มขยาย ยาป้องกันแคงเกอร์, ราน้ำค้าง ไม่ควรพ่นหลังฝนตกทันที
พ่นรอบกลางคืน/เช้ามืด เพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึม สำหรับยาดูดซึมเช่น อิมิดาคลอพริด

7 @สงวนสิขสิทธิ์โดย สวนมะนาวท้ายไร่ จังหวัดพิจิตร