ระบบน้ำหยด
ระบบน้ำหยด เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมมากในการเกษตรยุคใหม่ โดยเฉพาะในพื้นที่ปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น มะนาว, พริก, แตงโม, เมล่อน ฯลฯ เนื่องจากช่วยประหยัดน้ำ ลดแรงงาน และให้น้ำตรงจุดที่พืชต้องการ
ข้อดีของระบบน้ำหยด
ข้อดี | รายละเอียด |
---|---|
ประหยัดน้ำ | ใช้น้ำเพียง 30–50% ของระบบรดน้ำทั่วไป |
ต้นไม้โตดี | รากได้รับน้ำสม่ำเสมอ ลดความเครียด |
ใส่ปุ๋ยพร้อมน้ำได้ (Fertigation) | ใช้ระบบน้ำหยดส่งปุ๋ยน้ำหรือฮอร์โมนให้พืชได้โดยตรง |
ลดแรงงาน | ไม่ต้องเดินรดน้ำเองทุกวัน |
ไม่ทำให้แฉะ | พื้นดินรอบต้นไม่เปียกเกินไป ช่วยลดเชื้อราและวัชพืช |
ส่วนประกอบของระบบน้ำหยด
1. ถังเก็บน้ำ – ควรมีขนาดเหมาะสมกับพื้นที่ (200–1,000 ลิตรขึ้นไป)
2. ปั๊มน้ำ – ชนิดแรงดันต่ำหรือใช้แรงโน้มถ่วง (ถังตั้งสูง)
3. ตัวกรอง (Filter) – กรองเศษดิน ตะกอน ป้องกันหัวน้ำหยดอุดตัน
4. ท่อเมน (Main Line) – ท่อ PVC หรือ PE สำหรับลำเลียงน้ำหลัก
5. ท่อแยก/สายหยด (Lateral Line) – ท่อขนาดเล็กส่งน้ำไปแต่ละต้น
6. หัวน้ำหยด (Dripper) – จุดปล่อยน้ำ ปรับอัตราการหยดได้ เช่น 2–8 ลิตร/ชม.
ระบบน้ำหยดกับ “มะนาวในวงบ่อ”
:: ใช้หัวน้ำหยด 1–2 หัวต่อวง
:: ตั้งเวลาหยดวันละ 15–30 นาที เช้า–เย็น แล้วแต่ฤดูกาล
:: ใส่ปุ๋ยน้ำทางระบบได้ เช่น แคลเซียม-โบรอน หรือปุ๋ยสูตร 16-16-16 ละลายน้ำ
งบประมาณเบื้องต้น (สำหรับสวนขนาดเล็ก)
รายการ | ราคาประมาณ |
---|---|
ถังน้ำ 200 ลิตร | 400–800 บาท |
ปั๊มน้ำเล็ก | 600–1,500 บาท |
ตัวกรองน้ำ | 300–800 บาท |
สายพีอี + หัวหยด (ต่อวง) | 30–60 บาท/ต้น |
รวมทั้งระบบ (20–30 ต้น) | ประมาณ 2,000–4,000 บาท |
102 @สงวนสิขสิทธิ์โดย สวนมะนาวท้ายไร่ จังหวัดพิจิตร