ปฏิกิริยาเคมีระหว่างธาตุ

ปฏิกิริยาเคมีระหว่างธาตุในปุ๋ยและสารเกษตร เป็นสิ่งที่เกษตรกรควรเข้าใจ เพราะหากผสมผิด อาจทำให้เกิด “การตกตะกอน” หรือ “ธาตุอาหารจับกันเป็นสารที่พืชดูดไม่ได้” ทำให้ปุ๋ยไร้ประโยชน์ หรือพืชได้รับผลกระทบ

ตัวอย่างปฏิกิริยาเคมีระหว่างธาตุที่ "ควรระวัง"

ธาตุ A ธาตุ B ปฏิกิริยา/ผลกระทบ
แคลเซียม (Ca²⁺) ฟอสเฟต (PO₄³⁻) เกิด แคลเซียมฟอสเฟต → ตกตะกอนไม่ละลายน้ำ
แคลเซียม (Ca²⁺) ซัลเฟต (SO₄²⁻) เกิด แคลเซียมซัลเฟต (ยิปซัม) → ตกตะกอน
เหล็ก (Fe²⁺ / Fe³⁺) pH สูง (ด่าง) กลายเป็น Fe(OH)₃ → ตกตะกอนไม่ละลาย
แมงกานีส (Mn²⁺) ด่าง กลายเป็น MnO₂ → ไม่ละลายน้ำ
ทองแดง (Cu²⁺) ฟอสเฟต / โบรอน จับตัวเป็นสารไม่ละลาย → พืชดูดไม่ได้
ธาตุเหล็ก + สารคอปเปอร์ ปฏิกิริยาออกซิเดชัน → เสียประสิทธิภาพทั้งคู่
สารจับใบ (น้ำมัน) + ยากำจัดแมลง ทำให้ ใบไหม้ หากเข้มข้น

กฎพื้นฐานเพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์

1. อย่าผสมแคลเซียมกับปุ๋ยฟอสเฟต เช่น MKP, MAP

2. อย่าผสมจุลธาตุกับน้ำด่างหรือปูน → จะตกตะกอนทันที

3. ธาตุเหล็ก–แมงกานีส–ทองแดง–สังกะสี ควรอยู่ในรูปคีเลต หากต้องการให้พืชดูดซึมได้ดี

4. ทดสอบการตกตะกอนในแก้วเล็กๆ (Jar test) ก่อนใช้จริงทุกครั้ง

ปฏิกิริยาเคมีตัวอย่าง

แคลเซียมฟอสเฟต

Ca²⁺ + PO₄³⁻ → Ca₃(PO₄)₂ ↓ (ตกตะกอน)

เหล็กตกตะกอนในน้ำด่าง

Fe³⁺ + 3OH⁻ → Fe(OH)₃ ↓ (ตะกอนสีน้ำตาลแดง)

ทางเลือกเพื่อหลีกเลี่ยงการจับตัวกัน

• ใช้ ธาตุในรูปคีเลต (Chelate) เช่น Fe-EDTA, Zn-EDTA → ละลายได้ดี ไม่ตกตะกอน

• ใช้ ธาตุอาหารแยกวันพ่น แทนการผสมพร้อมกัน

• ใช้ ปุ๋ยทางดิน สำหรับธาตุที่มีความเสี่ยงสูง (เช่น แคลเซียม)

15 @สงวนสิขสิทธิ์โดย สวนมะนาวท้ายไร่ จังหวัดพิจิตร